Category Archives: Uncategorized

ตุ๊กตาบลายธ์

Image

ตุ๊กตาบลายธ์ (อังกฤษ: Blythe) เป็นตุ๊กตาที่ผลิตในฮ่องกงและวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา โดยบริษัท เค็นเนอร์ (Kenner) เมื่อ พ.ศ. 2515 ออกแบบโดยนักออกแบบของบริษัท มาร์วิน กลาส สตูดิโอ ประกอบด้วย แอลลิสัน แคตสแมน และรูเบ็น เทอร์เซียน ตุ๊กตารุ่นนี้ไม่ได้รับความนิยม จึงมีวางจำหน่ายเพียงปีเดียวในสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็ไม่ได้มีการจำหน่ายอีก

ตุ๊กตาบลายธ์มีลักษณะเด่นคือ มีตากลมโตที่เปลี่ยนสีได้ โดยดึงเชือกที่อยู่ด้านหลังศีรษะตุ๊กตา มีสัดส่วนศีรษะโต ลำตัวและขาสั้น ดูเหมือนการ์ตูน ปัจจุบันบริษัท เค็นเนอร์ ได้เลิกกิจการแล้ว และลิขสิทธิ์ของตุ๊กตาบลายธ์ถือครองโดย บริษัท แฮสโบร

ในปี พ.ศ. 2540 โปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์แห่งหนึ่งในนิวยอร์ก ชื่อ จินา แกแรน (Gina Garan) ได้รับตุ๊กตาบลายธ์เป็นของขวัญจากเพื่อน และได้ใช้ตุ๊กตานี้เป็นแบบฝึกฝนการถ่ายภาพ เธอได้ตีพิมพ์หนังสือภาพถ่าย ชื่อ “This is Blyth” ซึ่งมีแต่ภาพของตุ๊กตาบลายธ์ทั้งเล่มในปี พ.ศ. 2545 และเริ่มเกิดกระแสความนิยม ตุ๊กตาบลายธ์ถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์โฆษณาของห้างสรรพสินค้าพาร์โคในประเทศญี่ปุ่น และทำให้เกิดกระแสความนิยมเป็นอย่างสูงในประเทศญี่ปุ่น รายการโทรทัศน์ I Love the ’70s ของ VH1 ได้จัดให้มีช่วงของตุ๊กตาบลายธ์เป็นพิเศษ และทำให้เกิดความนิยมเป็นวงกว้าง

ปัจจุบัน นักสะสมตุ๊กตาพากันสะสมตุ๊กตาบลายธ์รุ่นแรก จนทำให้ราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากตัวละ 35 ดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2515 เป็นไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ บริษัทแฮสโบรได้ผลิตตุ๊กตาบลายธ์ขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ. 2543 เรียกว่า “นีโอ บลายธ์” ราคาจำหน่ายระหว่าง 60 ดอลลาร์สหรัฐ ถึง 300 ดอลลาร์สหรัฐ

ในสหรัฐอเมริกา โชคร้ายสำหรับเค็นเนอร์ ที่ตุ๊กตาขายไม่ดี เลยผลิตจำหน่ายแค่เพียงปีเดียวก็ยุติการผลิต แต่เป็นโชคดีของผู้มีตุ๊กตาบลายธ์ที่ผลิตในปีนั้นไว้ในครอบครอง เพราะปัจจุบัน นักสะสมตุ๊กตาระดับมืออาชีพ ต่างควานหาตุ๊กตารุ่นนี้กันให้ควั่ก แถมให้ราคาดี ซึ่งจะ”ดีมาก” หรือ “ดีมากๆ” ขึ้นอยู่กับสภาพของตุ๊กตา กล่าวกันว่าราคาซื้อขายทั่วไปจะอยู่ที่ตัวละ 1,000 กว่าดอลลาร์ขึ้นไป ส่วนตุ๊กตาบลายธ์ที่ผลิตใหม่ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ที่เรียกว่า นีโอ บลายธ์ (Neo Blythe) เวลาจะขายทอดตลาดก็มักได้ราคาไม่ต่ำไปกว่าราคาที่ซื้อมา เรียกว่ามีไว้ไม่ขาดทุน ยิ่งถ้าเป็นรุ่นที่ผลิตออกมาในจำนวนจำกัด (limited edition) ก็ยิ่งได้ราคาดี

ตุ๊กตา บลายธ์เป็นสินค้าที่น่าสนใจมากทีเดียว บลายธ์เหมือนกับ ตุ๊กตาบาร์บี้ที่มีคุณค่า และมูลค่าอยู่ในชื่อของเธอเอง ถือเป็นแบรนด์ที่ขายชื่อได้และทำเงินดีด้วย ตุ๊กตาบลายธ์ รุ่น “วินเทจ” ซึ่งหมายถึงรุ่นที่ผลิตจำหน่ายในปี 1972 สามารถเรียกราคาประมูลบนเว็บไซต์อีเบย์ได้ตัวละกว่า 2,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 76,000 บาท (จากราคาจำหน่ายแค่ตัวละ 35 ดอลลาร์ หรือ 1,300 กว่าบาท) สินค้าเกี่ยวกับบลายธ ์มีนอกเหนือจากตุ๊กตาเป็นตัวๆที่เอาไว้ให้เล่น หรือเอาไว้ให้ชื่นใจ ส่วนใหญ่เป็นของใช้สำหรับผู้หญิง เช่น เข็มกลัด กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าสะพาย ซองโทรศัพท์มือถือ แผ่นดีวีดี หรือแม้แต่หนังสือรวมภาพตุ๊กตาบลายธ์ในอิริยาบถต่างๆ ตุ๊กตายี่ห้อนี้มีแฟชั่นโชว์ และนิทรรศการจัดแสดงในหลายประเทศ

ดีไซเนอร์ที่ร่วมทีมออกแบบ ตุ๊กตาบลายธ์เมื่อปี 2515 มี 3 คนสังกัดบริษัท มาร์วิน กลาส สตูดิโอ ซึ่งโด่งดังมากในเรื่องการออกแบบของเด็กเล่น รูเบ็น เทอร์เซียน เป็นผู้ออกแบบลูกตา ซึ่งตอนแรกเขาตั้งใจจะใช้กับตุ๊กตาสุนัข ส่วนลำตัวของตุ๊กตา แรกๆทีมงานก็ออกแบบให้ยาวได้สัดส่วนกับหัวที่มีขนาดใหญ่ของตุ๊กตา แต่ปรากฏว่ากล่องใส่มีขนาดสั้น จึงต้องลดสัดส่วนความยาวลำตัวให้บรรจุได้พอดี ตุ๊กตาบลายธ์จึงหัวโตตัวสั้น ดูเหมือนการ์ตูน

ดาราเกาหลีที่ฮิตที่สุด

Image

ลี มินโฮ (ฮันกึล: 이민호,ฮันจา: 李敏鎬) เกิดที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยคอนกุก เริ่มงานในวงการบันเทิงเกาหลีด้วยการเป็นนายแบบ ก่อนที่จะหันมาเป็นนักแสดง กับละครทางสถานีโทรทัศน์เอ็มบีซี (MBC) ของเกาหลีใต้ ในละครเรื่อง Love Hymm จากนั้นก็เล่นละครเรื่อยมา จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 2008 ลี มินโฮกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากละครเรื่อง Boys Over Flowers ในปี 2008 โดยรับบทเป็นหัวหน้าของ F4 เวอร์ชันเกาหลี และนั่นทำให้เขากลายเป็นดาราที่โด่งดังอย่างมากของเกาหลี รวมถึงอีกหลายประเทศในเอเชีย

ดอยปุย เชียงใหม่

Image 

ดอยปุย เป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 24 ของประเทศ มีลักษณะของพื้นที่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนอยู่ในแนวเทือกเขาถนนธงไชย นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญของตัวเมืองเชียงใหม่ และพื้นที่บางส่วนของอำเภอรอบ ๆ สภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่จะหนาวเย็นและชุ่มชื้น เนื่องจากได้รับไอน้ำจากเมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่เกือบตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดในพื้นที่อยู่ระหว่าง 10-12 องศาเซลเซียส 

ทะเลภูเก็ต

Image

 

ประวัติความเป็นมาของภูเก็ต มีหลายกระแส บ้างก็ว่าภูเก็ตเป็นเกาะ ที่ค้นพบโดยชาวประมง แต่เดิมเรียกว่า “บูกิต” ซึ่งเป็นภาษามลายูแปลว่าภูเขา เพราะเมื่อมองจากทะเล จะเห็นเหมือนมีภูเขา โผล่ขึ้นกลางน้ำ แต่บางกระแส ก็ว่าภูเก็ตมาจากคำว่า “ภูเก็จ” แปลว่าภูเขาที่มีค่า ซึ่งคำว่าภูเก็จนี้มีบันทึก ในเอกสารเมืองถลางว่า ใช้กันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2328 มีฐานะเป็นเมือง ที่ขึ้นตรงต่อเมืองถลาง ซึ่งต่อมาคำนี้ได้เปลี่ยนเป็น “ภูเก็ต” โดยไม่ทราบสาเหตุ ดังมีปรากฏอยู่ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2450 เป็นต้นมา โดยเริ่มเป็นที่รู้จักกัน ในฐานะ มณฑลภูเก็ต ในสมัยรัชกาลที่ 5 และเปลี่ยนมาเป็น จังหวัดภูเก็ต ในเวลาต่อมา

วิวัฒนาการของภูเก็ต มีอยู่หลายช่วงด้วยกัน นับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เห็นได้จากมีการขุดพบหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์ คือ เครื่องมือหิน และขวานหิน ที่บ้านกมลา อ.กะทู้  โดยจากการตรวจสอบ ทำให้ทราบว่าหลักฐานดังกล่าว มีอายุไม่ต่ำกว่า 3,000 ปีมาแล้ว ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า เกาะภูเก็ตมีผู้คนอาศัยอยู่ ตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์ 

ในสมัยอาณาจักรกรีกโบราณ ก็ได้มีการกล่าวถึงภูเก็ต ในนามของแหลมจังซีลอน ตามแผนที่ของปโตเลมี (นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก) ซึ่งสันนิษฐานว่า ขณะนั้นภูเก็ตยังเป็นแหลมติดกับแผ่นดินใหญ่ ก่อนที่พื้นดินบริเวณช่องปากพระ (ร่องน้ำระหว่างจังหวัดพังงา และภูเก็ต) จะถูกน้ำกัดเซาะ จนขาดจากกัน แสดงให้เห็นว่าภูเก็ต เป็นที่รู้จักของนักเดินทางในขณะนั้นแล้ว ในนามของแหลมจังซีลอน    
                
ภูเก็ตเป็นเมืองประเทศราช ของอาณาจักรต่างๆ เรื่อยมาตั้งแต่ประมาณ ต้นพุทธศตวรรษ 800 ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรตามพรลิงค์ อาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรศิริธรรมราช อาณาจักรสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งเป็นจังหวัดหนึ่ง ในประเทศไทยในปัจจุบัน โดยผ่านเหตุการณ์ต่างๆมามากมาย ตั้งแต่เป็นเมืองท่าที่สำคัญ ในการเดินทางระหว่างสุวรรณภูมิ และทวีปอินเดีย ศูนย์กลางสำคัญ ในการค้าขาย-ทำเหมืองแร่ดีบุก และปัจจุบันเป็นเมืองท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
                
สำหรับประวัติศาสตร์ที่สามารถอ้างอิงได้ และมีการบันทึกไว้อย่างชัดเจน เกี่ยวกับภูเก็ตนั้นพอจะสรุปได้ดังนี้

สมัยกรุงศรีอยุธยา
ชาวโปรตุเกสได้เข้ามาตั้งห้างค้าแร่ดีบุก ในเมืองถลาง เมื่อปี พ.ศ. 2126 ต่อมาในปีพ.ศ.2169 พระเจ้าทรงธรรมทรงทำสัญญา ให้ดัตช์เข้ามาผูกขาดการรับซื้อแร่ดีบุก ที่ถลางได้ เนื่องจากชาวดัตช์เริ่มเข้ามามีอิทธิพล บนเกาะชวามากขึ้น แต่ชาวถลางก็ลุกขึ้นสู้การกดขี่ของชาวดัตช์ โดยขับไล่ไปจากเกาะในปี พ.ศ. 2210 และต่อมาในสมัยพระนารายณ์มหาราช ทรงมีดำริที่จะให้สัมปทาน แก่ชาวฝรั่งเศส มาสร้างห้าง และผูกขาดการค้าแร่ดีบุกที่ถลาง (ยกเลิกไปในสมัยสมเด็จพระเพทราชา)

สมัยรัตนโกสินทร์-ปัจจุบัน
ในสมัยรัชกาลที่ 1(พ.ศ.2328) เกิดศึกถลางขึ้น ซึ่งคุณหญิงจัน และคุณหญิงมุกร่วมกับชาวถลาง ต้านศึกพม่าได้สำเร็จ จนได้รับราชทินนามตำแหน่ง เป็นท้าวเทพกระษัตรี และท้าวศรีสุนทร

ต่อมาในปี พ.ศ.2352 เกิดศึกถลางครั้งที่สองขึ้น ถลางพ่ายแพ้แก่ทัพพม่า อย่างยับเยิน เมืองถลาง กลายเป็นเมืองร้าง 

15 ปีต่อมา ( พ.ศ.2367) รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้รื้อฟื้นสร้างเมืองใหม่ ที่บ้านท่าเรือ ประจวบกับช่วงนั้น มีการพบสายแร่ ที่บ้านเก็ตโฮ่ (อ.กะทู้) และที่บ้านทุ่งคา (อ.เมืองภูเก็ต) ความเจริญ และชุมชนเมืองจึงย้ายไปตามแหล่ง ที่พบสายแร่แต่เมืองเหล่านั้น (บ้านกะทู้ , บ้านทุ่งคา) แต่ก็อยู่ในฐานะเมืองบริวารของถลาง 

ช่วงสมัยรัชกาลที่ 3-4 กิจการเหมืองแร่ มีความเจริญก้าวหน้ามาก เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลง รูปแบบการส่งส่วย “ดีบุก” มาเป็นการผูกขาดเก็บภาษีอากรแบบ “เหมาเมือง” ตลอดจนมีการทำ สนธิสัญญา กับต่างชาติ ส่งผลให้ธุรกิจการค้าดีบุก ขยายตัวอย่างกว้างขวาง คนจีนพากันหลั่งไหล เข้ามาทำเหมืองจนกลายเป็นชนกลุ่มใหญ่ ในภูเก็ตจนถึงปัจจุบัน

ในสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ.2435) ได้มีการปฏิรูปการปกครอง เป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล มีการแต่งตั้งให้พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต และในช่วงนี้เองที่ภูเก็ต เริ่มมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีพระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เป็นผู้วางรากฐาน ด้านต่างๆ ทั้งระบบสาธารณูปโภค เช่น การสร้างถนน, การพัฒนา ทางเศรษฐกิจ ฯลฯ และวางรากฐานการพัฒนา ด้านเศรษฐกิจในภูเก็ต คือ ตรา พ.ร.บ.เหมืองแร่, ริเริ่มการปลูกยางพารา ในภาคใต้ของประเทศไทยรวมทั้งภูเก็ต

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 เป็นต้นมากิจการเหมืองแร่เริ่มซบเซาลง กลุ่มนักลงทุนเริ่มมีแนวคิด ในการนำธุรกิจการท่องเที่ยว เข้ามาแทนที่ การทำเหมืองแร่ และในวันที่ 23 มิถุนายน 2529 ได้เกิดเหตุการณ์ เผาโรงงานถลุงแร่แทนทาลัม นับเป็นการปิดฉากธุรกิจเหมืองแร่ ในภูเก็ตอย่างแท้จริง การท่องเที่ยวกลายเป็นทางเลือกใหม่ของคนภูเก็ต

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ 
หลวงพ่อแช่มวัดฉลอง – กลุ่มอั้งยี่ 
จากการที่เมืองภูเก็ตมีชาวจีนมาอยู่อาศัยมาก ทำให้มีสมาคมลับหรือ “อั้งยี่” เกิดขึ้น โดยแบ่งเป็น สองพวกใหญ่ คือ กลุ่มปุนเถ้าก๋ง มีอิทธิพลอยู่ในบ้านกะทู้ ซึ่งเป็นแหล่งทำเหมือง ที่มีชาวจีนอยู่มาก และอีกพวกหนึ่งคือ กลุ่มเกี้ยนเต็ก มีเขตอิทธิพลอยู่ในตัวตลาดเมืองภูเก็ต ซึ่งอั้งยี่ทั้งสองกลุ่ม เป็นศัตรูคู่อริที่มักก่อเหตุวุ่นวายอยู่เนืองๆ โดยก่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง ครั้งใหญ่สามครั้งด้วยกัน คือ

เหตุการณ์จลาจลครั้งแรก เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2410 พวกอั้งยี่ทั้งสองกลุ่ม ได้ยกพวกฆ่าฟันกัน เพื่อแย่งชิงสายน้ำล้างแร่ จนกลายเป็นจลาจล ข้าหลวงส่วนกลาง ต้องเข้าระงับเหตุและปราบปราม เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้รัฐบาล ต้องเลี้ยงอั้งยี่ คือเลือกคนจีนที่มีพรรคพวกนับถือมากตั้งเป็น “หัวหน้าต้นแซ่” ควบคุมดูแลคนของตน และหากคนของตน คับข้องใจต้องการร้องทุกข์ หัวหน้าต้นแซ่ จะเป็นผู้เสนอคำร้องนั้น ให้แก่ทางการต่อไป

ต่อมาในปี พ.ศ.2419 ได้เกิดเหตุจลาจลขึ้นอีกครั้งการ โดยครั้งนี้เป็นการจลาจลครั้งใหญ่ เกิดจากอั้งยี่ปุนเถ้าก๋ง ไม่พอใจที่นายเหมือง ไม่จ่ายค่าแรง เนื่องจากภาวะราคาดีบุกตกต่ำ ประกอบกับมีความแค้นเคืองเจ้าเมืองเป็นทุนเดิม จึงได้มีการรวบรวมสมัครพรรคพวกกว่า 2,000 คน ก่อการกบฏ เข้าล้อมศาลากลาง และมีการปล้น-ฆ่าราษฎรไทย ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ เกินกำลัง เจ้าหน้าที่บ้านเมืองในท้องถิ่น จะควบคุมได้ ต้องขอกำลังจากส่วนกลาง มาสนับสนุน ระหว่างที่รอ กองกำลังส่วนกลาง หลวงพ่อแช่มวัดฉลอง ได้เป็นที่พึ่งให้แก่ชาวบ้าน ในการต่อสู้กับ พวกอั้งยี่ โดยท่านได้มอบผ้าประเจียดสีขาวให้ชาวบ้านทุกคนโพกหัว เพื่อเป็นขวัญ และกำลังใจ ในการต่อสู้ จนพวกอั้งยี่เรียกพวกชาวบ้านว่า “พวกหัวขาว”  จนในที่สุดชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ ก็สามารถปราบอั้งยี่ ได้สำเร็จ รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าพระราชทาน สมณศักดิ์แก่หลวงพ่อแช่ม เป็นพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี ซึ่งท่านเป็นที่เคารพเลื่อมใส ของชาวภูเก็ตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยหลวงพ่อแช่มไม่เพียงเป็นที่เคารพนับถือ ของคนภูเก็ตเท่านั้น ชาวมาเลเซีย และปีนัง ก็ให้ความเคารพศรัทธาท่านด้วย เมื่อมีเรื่องทุกข์ร้อนใด ก็พากันมาบนบาน ให้หลวงพ่อช่วยเหลือเสมอ

เหตุวิวาทรุนแรงครั้งสุดท้ายของพวกอั้งยี่ เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2422 โดยพวกอั้งยี่เกี้ยนเต็ก หลอกพวกอั้งยี่ปุนเถ้าก๋งมากินเลี้ยง แล้วมอมเหล้าและฆ่าจุดไฟเผาทั้งเป็น นับร้อยคนในวัน 17 ค่ำเดือน 6 ตามปฏิทินจีน ซึ่งต่อมาชาวกะทู้รุ่นหลัง ได้ฝันเห็นวิญญาณเหล่านี้ พากันมาร้องขอที่อยู่อาศัย จึงได้ร่วมใจกันจัดหาที่ดินในบริเวณหมู่ 4 ตำบลกะทู้ สร้างศาลเจ้าขึ้น เพื่อเป็นที่สถิต ของดวงวิญญาณเหล่านั้น โดยทำซินจู้หรือแผ่นป้ายชื่อผู้ตายในคราวนั้น ตั้งไว้ในศาล แทนรูปเทพเจ้าต่างๆ พร้อมกับขนานนามศาลแห่งนี้ว่า “ศาลเจ้าต่องย่องสู” อันมีความหมายถึง ศาลเจ้าของผู้กล้าที่มีความซื่อตรง และซื่อสัตย์ และทุกปีในวัน17 ค่ำเดือน 6 ตามปฏิทินจีน อันตรงกับวันแห่งการสูญเสีย ชาวบ้านกะทู้ และชาวจีนในภูเก็ต จะพากันมาเซ่นไหว้ ดวงวิญญาณที่ศาลแห่งนี้ 

ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร 
ประวัติศาสตร์ ของภูเก็ตมีมายาวนาน แต่ที่สำคัญ และน่าจดจำที่สุด คือ ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร วีรสตรีผู้ปกป้องเมืองถลาง ไว้จากการรุกรานของพม่าในสงครามเก้าทัพ 

ท้าวเทพกระษัตรี และท้าวศรีสุนทรเกิดในปลายสมัยอยุธยา ท่านทั้งสองเป็นธิดา ของจอมร้างบ้านตะเคียน (ขุนนางผู้ปกครองเมืองถลาง) จึงได้รับการเลี้ยงดู มาเพื่อรับภาระ อันหนักยิ่งของตระกูล ทั้งการควบคุมไพร่พลขุดหาดีบุก การแสวงหาเครื่อง อุปโภค บริโภค สำหรับไพร่พล จำนวนมาก การหาตลาดจำหน่ายดีบุก การแสวงหาอาวุธ เพื่อป้องกันภัยจากพม่า และโจรสลัด และการรักษาสถานภาพ ของตระกูล จากการฉกฉวยแย่งชิงของศูนย์อำนาจภายนอก

ในสมัยที่เกิดเหตุการณ์ สงครามเก้าทัพนั้น ตรงกับ พ.ศ.2328 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 1 พม่าได้ยกทัพมาตีไทย โดยมีทัพหนึ่งยกมาทางใต้ เมื่อตีเมืองตะกั่วป่าตะกั่วทุ่งได้แล้ว ก็มุ่งตีเมืองถลางทันที ขณะนั้นพระยาพิมล เจ้าเมืองถลางสามีของคุณหญิงจัน เพิ่งถึงแก่อนิจกรรม ไม่นานนัก จึงไม่มีใครบัญชาการรบ คุณหญิงจัน และนางมุกน้องสาว ร่วมกับเจ้าเมืองภูเก็จ คือ พระยาทุกขราช (เทียน) ลูกชายของคุณหญิงจัน จึงเตรียมป้องกันเมืองถลาง และใช้กลอุบาย ต่อสู้กับพม่า จนพม่าต้องถอยทัพกลับไป (ตรงกับวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2328 ) วีรกรรมครั้งนั้น ทำให้รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าให้คุณหญิงจันเป็นท้าวเทพกระษัตรี นางมุกเป็นท้าวศรีสุนทร ส่วนตำแหน่ง เจ้าเมืองถลาง ที่ว่างอยู่ทางกรุงเทพฯ ได้แต่งตั้งคนนอก คือ เจ้าพระยาสุรินทราชา (จันทร์ จันทโรจนวงศ์) มาเป็นผู้สำเร็จราชการ แปดหัวเมืองภาคใต้ และเป็นใหญ่ในถลาง  แต่ในภายหลัง คนในกลุ่มเครือญาติถลาง คือ พระยาทุกขราช(เทียน) ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระยาถลางใน พ.ศ. 2331

เคส (Case) ใช้ติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ของคอมพิวเตอร์

Image

        เคส คอมพิวเตอร์ ก็คือกล่องสำหรับบรรจุอุปกรณ์ต่าง ๆ ของ คอมพิวเตอร์ เอาไว้ข้างใน เพื่อประโยชน์ในการยึดอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีความมั่นคง กะทัดรัด เคลื่อนย้ายได้ ขณะเดียวกันก็เพื่อความปลอดภัย เช่น ป้องกันไฟดูด ป้องกันอุปกรณ์สูญหาย และการป้องกันการส่งคลื่นรบกวนการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ 

ชนิดของ เคส คอมพิวเตอร์ 

ชนิดของ เคสคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่จะแบ่งตามขนาด และลักษณะของมัน ซึ่ง สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ คือ 
•  ประเภทวางยืน หรือ Tower 
•  ประเภทวางนอน หรือ Desktop บางทีเราก็เรียกว่าแบบตั้งโต๊ะ แต่ก็อาจจะสับสนกับประเภทแรก เพราะตั้งบนโต๊ะเหมือนกัน 
ประเภท วางยืน หรือ ทาวเวอร์ – Tower 

ประเภทนี้ยังแบ่งเป็นประเภทย่อยได้อีก คือ 

•  มินิทาวเวอร์ – Mini Tower 
ข้อดีของประเภทนี้ คือ มีขนาดกะทัดรัด จะวางบนโต๊ะ หรือ ใต้โต๊ะก็สะดวก แต่ข้อเสีย คือจะ เพิ่มอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าไปอีกค่อนข้างลำบาก เพราะพื้นที่ภายในแคบ อาจจะใส่ฮาร์ดดิสก์เพียงตัวเดียว หรือเพิ่มการ์ดต่าง ๆ ไม่ค่อยได้ อย่างไรก็ตาม เคสคอมพิวเตอร์ ประเภทนี้มักจะได้รับความนิยมในสำนักงาน เพราะประหยัดพื้นที่ ขณะเดียวกัน งานในสำนักงานก็มักเป็นงานที่ไม่ต้องใช้ขีดความสามารถของเครื่อง คอมพิวเตอร์ สูงอยู่แล้ว

•  มิดทาวเวอร์ – Mid Tower 
เคส รุ่นนี้ เป็น เคส ขนาดกลาง ซึ่งจะมีเนื้อที่ในการเพิ่มอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าไปได้มากกว่า ขณะเดียวกันก็ยังไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่เกินไป ยังเหมาะสมที่จะวางบนโต๊ะทำงานได้ รุ่นนี้มักเป็นที่นิยมของผู้ประกอบเครื่อง คอมพิวเตอร์ ด้วยตนเอง หรือจ้างให้ร้านประกอบให้ แม้กระทั่งในสำนักงานก็ยังนิยมใช้รุ่นนี้เหมือนกัน 

•  ฟูล ทาวเวอร์ – Full Tower 
เป็น เคสคอมพิวเตอร์ รุ่นใหญ่ ซึ่งผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ คอมพิวเตอร์ หรือนักเล่นเกม จะนิยมประเภทนี้ เพราะใส่อุปกรณ์ได้มาก และระบายความร้อนได้ดีกว่า แต่ราคาก็ย่อมสูงตามไปด้วย ข้อเสียของมันคือมีขนาดใหญ่ จึงไม่ค่อยจะเหมาะที่จะวางบนโต๊ะ ผู้ใช้จึงมักหาที่วางใต้โต๊ะ หรือข้างโต๊ะ เคสคอมพิวเตอร์ ขนาด นี้ยังเอาไปทำเป็นเครื่อง เซอร์เวอร์ (Server) สำหรับบริการเครื่อง คอมพิวเตอร์ อื่น ๆ ด้วย 

ประเภทเดสก์ทอป – Desktop 
วัตถุประสงค์ของ เคส ประเภท นี้ เพื่อประหยัดพื้นที่ โดยเอาจอภาพวางซ้อนด้านบน ข้อเสียของมันคือจะเพิ่มเติมอุปกรณ์อีกแทบไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม เคส ประเภทนี้ยังคงเป็นที่นิยมใช้ในธุรกิจต่าง ๆ อยู่ เฉพาะอย่างยิ่ง คอมพิวเตอร์ ที่อยู่บนเคาน์เตอร์ หรืออยู่บนโต๊ะขนาดเล็ก 

สลิม เดสก์ทอป – Slim Desktop 
เคสคอมพิวเตอร์ ประเภทนี้ มักใช้ในหน่วยงานขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้ คอมพิวเตอร์ จำนวนมาก การออกแบบระบบ คอมพิวเตอร์ ก็ให้ประมวลผลที่เครื่อง เซอร์เวอร์ หรือ เมนเฟรม การเก็บข้อมูลก็เก็บที่ศูนย์ข้อมูล แทนที่จะเก็บที่เครื่องลูก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์มากมาย และสามารถประหยัดการลงทุนกับเครื่อง คอมพิวเตอร์ ได้มาก เมนบอร์ดและซีพียู ก็อาจใช้ประเภทขนาดเล็ก กินไฟน้อย อุปกรณ์ต่าง ๆ อาจรวมเป็นชิ้นเดียว บนเมนบอร์ดเลย ซึ่งจะเรียกว่าเป็นเครื่อง workstation มากกว่าที่จะเรียก PC หรือ Personal Computer

ซีดีรอมไดรว์ (CD-Rom Drive) อุปกรณ์ใช้อ่านข้อมูลจากแผ่น

Image

         ซีดีรอมไดรว์ ได้กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันไปแล้ว เนื่องจากแผ่นซีดีรอมนั้นสามารถบันทึกข้อมูลได้ปริมาณมากและมีราคาถูก ซีดีรอมไดรว์จะมีให้เลือกทั้งแบบติดตั้งภายใน และแบบติดตั้งภายนอก สำหรับรูปแบบการเชื่อมต่อหรือการอินเตอร์เฟสก็จะมีทั้งแบบ IDE และแบบ SCSI เช่นเดียวกับฮาร์ดดิสก์ นอกจากนี้ยังแบ่งเครื่องซีดีรอมออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดอ่านได้อย่างเดียว ได้แก่ ซีดีรอมไดรว์ทั่วไปกับซีดีรอมไดรว์ประเภทที่ทำได้ทั้งอ่านและเขียนแผ่นซีดี ที่เรียกว่า ซีดีอาร์ ดับบลิว ไดรว์ในเครื่องซีดีรอมรุ่นแรกสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 1X คือ 150 กิโลไบต์ต่อวินาที และได้พัฒนาเรื่อยมาเป็น 2X, 3X, 4X จนในปัจจุบันสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 54 เท่าจากความเร็วเดิม มีหน่วยความจำขนาด 128KB สำหรับซีดีรอมไดรว์แบบ IDE และขนาด 512 KB สำหรับซีดีรอมไดรว์แบบ SCSI

ลำโพง (SPEAKER) อุปกรณ์แสดงเสียง

Image

         ลำโพง เป็นอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่มีความสำคัญ เนื่องจากในปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์ถูกใช้ในงาน เพื่อความบันเทิง และการศึกษามากขึ้น เช่น ใช้เป็นเครื่องเล่น VDO CD, ใช้ฟังเพลง ใช้งานซอฟต์แวร์มัลติมีเดียหรือโปรแกรมสื่อการสอน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยลำโพงทั้งสอง

ซาวน์การ์ด (SOUND CARD) ตัวประมวลผลสัญญาณเสียง

Image

     จากอดีตที่คอมพิวเตอร์ยังไม่สามารถ “พูด” ได้ คำว่า “พูด” นี้หมายถึงการที่คอมพิวเตอร์สามารถส่งเสียงออกมาได้ นอกจากเสียง “ปี้บ” ปกติที่ออกมาจากลำโพงของพีซี จนเมื่อมีผู้ที่คิดผลิตซาวน์การ์ดขึ้นมา ก็เริ่มทำให้การใช้คอมพิวเตอร์มีสีสันขึ้นมา โดยเฉพาะในวงการเกมที่จะต้องใช้ทั้งภาพที่ดูสมจริง และเสียงที่เร้าใจ เพื่อที่จะทำให้เกมนั้นมีความสนุกสนานขึ้นมากกว่าเก่า 
เมื่อมีผู้ที่บุกเบิกตลาดซาวน์การ์ดขึ้นมา ก็เป็นธรรมดาที่จะมีผู้ที่ผลิตซาวน์การ์ดออกมาขายกันมากมาย จากในอดีตที่ซาวน์การ์ดมีราคาสูงถึง 3-4 พันบาท จนในปัจจุบันสามารถหาซื้อซาวน์การ์ดได้ในราคาประมาณ 1 พันบาท 
วงการเกมจะได้รับประโยชน์จากซาวน์การ์ดมากที่สุด เพราะเกมต่าง ๆ ที่ผลิตขึ้นมานั้น ต่างก็ต้องการความตื่นเต้นสนุกสนาน และสิ่งที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นมาก็คือ เสียง เพราะแค่ลำพังภาพที่มีสีสันสวยงาม จะเป็นสองมิติหรือสามมิติก็ได้ แต่ขาดเสียงประกอบ ก็ออกจะขาดอรรถรสในการเล่นเกมไปไม่ใช่น้อย

พล็อตเตอร์ (plotter)

Image

                 พล็อตเตอร์ เป็นเครื่องพิมพ์ชนิดที่ใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลต่างๆ ลงบนกระดาษเหมาะสำหรับงาน เกี่ยวกับการเขียนแบบทางวิศวกรรม (เขียนลงบนกระดาษไข) และงานตกแต่งภายใน สำหรับวิศวกรรมและสถาปนิก 
                  พล็อตเตอร์ทำงานโดยใช้วิธีเลื่อนกระดาษ โดยสามารถใช้ปากกาได้ 6-8 สี ความเร็วในการทำงานของ พล็อตเตอร์มีหน่วยวัดเป็นนิ้วต่อวินาที (Inches Per Secon : IPS) ซึ่งหมายถึงจำนวนนิ้วที่พล็อตเตอร์สามารถ เลื่อนปากกาไปบนกระดาษ

เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer)

Image

 


                  เครื่องพิมพ์เลเซอร์ เป็นเครื่องที่มีคุณสมบัติเหมือนกับเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก แต่สามารถทำงาน ได้เร็วกว่า โดยเครื่องพิพม์เลเซอร์ สามารถพิมพ์ตัวอักษรได้ทุกรูปแบบและทุกขนาดรวมทั้งสามารถพิมพ์งาน กราฟิกที่คมชัดได้ด้วย เครื่องเลเซอร์ใช้เทคโนโลยี เดียวกับเครื่องถ่ายเอกสาร คือยิงเลเซอร์ไปสร้างภาพบน กระดาษในการสร้างรูปภาพ หรือตัวอักษรบนกระดาษ
                  หน่วยวัดความเร็วของเครื่องพิมพ์เลเซอร์จะเป็น PPM เช่นเดียวกับ เครื่องพิมพ์พ่นหมึกในปัจจุบัน ความสามารถ ในการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์เลเซอร์คุณภาพสูง สามารถพิมพ์ได้หลายร้อยหน้าต่อนาที ซึ่งเหมาะ กับงานในองค์กรขนาดใหญ่ จะนำไปใช้งานในการพิมพ์เอกสารต่าง ๆ ส่วนคุณภาพงานพิมพ์ของเครื่องจะวัด ด้วยความละเอียดในการสร้างจุดลงในกระดาษ ขนาด 1 ตารางนิ้ว เช่นความละเอียดที่  300 dpi หรือ 600 dpi หรือ 1200 dpi เครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ก็จะมีทั้งเครื่องพิมพ์เลเซอร์แบบ ขวา-ดำ และเครื่องพิมพ์ เลเซอร์แบบสี ซึ่งเครื่องพิมพ์เลเซอร์แบบสีจะมีราคาแพงมาก แต่งานพิมพ์ที่ได้ออกมาก็มีคุณภาพสูง